Social Distancing สู้ COVID-19 ห่างกันสักพัก แต่ยังรักกัน

สถานการณ์ ณ ตอนนี้ ดูเหมือนว่าอะไรๆ จะไม่เป็นใจไปซะเลย บางคนถึงกับทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะถูกต้อง ขณะที่คนอีกจำนวนไม่น้อยรู้ว่าการทำสิ่งที่ควรคืออะไร แต่ใช่ว่าจะเป็นไปตามนั้นกันได้ง่ายๆ เหมือนกับคำว่า "Social Distancing" การเว้นระยะห่างทางสังคม 

ห่างกันสักพัก ห่างกันสักพักกกกก~~ ซึ่งดูทรงแล้วรู้สึกว่าน่าจะสักพักใหญ่เลยๆ หล่ะ เพราะด้วยเหตุการณ์แบบนี้การอยู่ไกลออกไป ดูจะเป็นผลดีกว่าการอยู่ใกล้กัน เพราะเจ้า COVID-19 ติดได้ง่ายนั้น แค่ละอองน้ำลายน้ำมูกจากการไอจามของผู้ติดเชื้อ ก็สามารถกระเด็นออกไปได้ไกล 1-2 เมตร ถึงได้ให้ทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัย และนี่จึงเป็นเหตุผลให้เกิดการเว้นช่องว่างขึ้น 

ทั้งในเรื่องตัวบุคคล การงดออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น แต่เมื่อต้องออกข้างนอกจริงๆ เราควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกาย การอยู่ห่างจากคนรอบข้าง ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น อย่าเข้าไปอยู่ในที่มีกลุ่มคนหนาแน่น แม้แต่การจับวัตถุสิ่งของในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น ขนส่งมวลชน ลิฟต์ บันไดเลื่อน ประตู ที่ๆ สะสมเชื้อโรค ซึ่งถ้าเกิดไปโดนเข้าและไม่ล้างมือเผลอมาจับหน้าจับตัว จะทำให้เราติดเชื้อและอาจเป็นการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้อีกต่างหาก

ขณะเดียวกันในส่วนของ บริษัทต่างเริ่มให้พนักงาน Work From Home หรือทำงานที่บ้านเพราะเราต่างรู้กันอยู่แก่ใจ ว่าการหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ ของพนักงานนั้นเป็นไปได้ยาก เช่นเดียวกับสถานศึกษาที่ให้นักเรียนนักศึกษารวมถึงอาจารย์ ทำการเรียนการสอนผ่านทางออนไลน์ เพื่อเป็นการป้องกันลดความเสี่ยงในทุกๆ ด้าน

ไม่เว้นแม้แต่ ห้างร้านต่างๆ ก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย จากแรกเริ่มให้สามารถนั่งทานที่ร้าน โดยเว้นที่นั่งให้ห่างกัน ก็เปลี่ยนเป็นให้สั่งกลับบ้านเท่านั้น หรือร้านกาแฟคาเฟ่ทุกแห่งก็ของดรับการใช้แก้วตนเอง รวมถึงโรงภาพยนตร์ งานอีเว้นท์เทศกาลกีฬาอื่นๆ และสายการบิน ก็ถูกยกเลิกเช่นเดียวกัน เราทุกคนต่างพยายามทุกวิถีทางให้ COVID-19 หายไปจากประเทศไทย

แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า "Social Distancing" ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนและทุกอาชีพ เช่น หมอ พยาบาล พ่อค้าแม่ขาย พนักงานขายของ ส่งอาหาร เจ้าหน้าที่ธุรกรรมการเงิน พนักงานของขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบ คนเก็บขยะ รวมไปถึงคนหาเช้ากินค่ำ ที่ถ้าหยุดเมื่อไหร่คือมื้อนั้นอด นี่แค่ยกตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้นนะ พอรวมๆ กันแล้วเท่ากับว่ายังมีจำนวนคนอีกมากที่ยังอยู่ข้างนอก สังเกตได้จากทุกวันนี้ในช่วงเวลาเร่งด่วน ก็ยังมีคนจำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดบนรถเมล์เหมือนเดิม อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

นั่นแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่พวกเค้าไม่อยากปฏิบัติตาม แต่ความเป็นจริงมันทำไม่ได้ต่างหาก แม้เจ้าของกิจการบางแห่งจะทำการช่วยเหลือ รวมถึงรัฐบาลมีมาตรการในการดูแลให้เห็นบ้างแล้ว แต่ก็ยังเป็นแค่ในระยะสั้น ซึ่งระยะยาวก็คาดหวังว่าจะมีมาตรการการช่วยเหลือที่ดีพอให้แก่พวกเค้า สำหรับใครที่ปฏิบัติตามได้ก็อยากให้ทำอย่างเคร่งครัดและไม่ประมาท เพราะถึงแม้จะไม่ได้เข้าสังคมไม่ได้พบปะพูดคุยต่อหน้า แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้แม้จะเป็นสังคมออนไลน์ ก็ช่วยทำให้เราไม่ได้ห่างไกลสักเท่าไหร่นัก 

อย่างไรก็ตาม "Social Distancing" ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพ อย่างน้อยก็ลดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้บ้าง สุดท้ายแล้วนาทีนี้ ไม่มีการแบ่งฝ่ายเรามีแต่คำว่าคนไทย ที่ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ประกอบกับมีความรับผิดชอบต่อตนเองรวมถึงสังคม และเชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไปได้พร้อมๆ กัน